วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แพ้ยา

การแพ้ยา เป็นภาวะการเกิดปฏิกิริยาของร่างกายที่มีกับยา โดยภูมิต้านทานของร่างกายแสดงการต่อต้านยา ด้วยสัญญาณว่าเป็นภัยต่อร่างกายทำให้เกิดการหลั่งสารหลายชนิดขึ้นในร่างกาย เช่น ฮีสตามีน (Histamine) สารที่หลั้งออกมานี้จะก่อให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น อักเสบ บวม แดง คัน ไปจนถึงการเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้
การแพ้ยา แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด
1.การแพ้ยาที่เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด
ก.อะนาฟัยแลกซีส (Anaphylaxis) เป็นอาการแพ้ที่พยได้น้อยแต่ว่ารุนแรงถึงชีวิต เนื่องจากหลอดลมตีบความดันโลหิตต่ำ หมดสติ อาการที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ต้องทำการรักษาอย่างทันท่วงที มิฉะนั้นอาจเสียชีวิตได้ยาที่มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้เช่นนี้ เช่น เพนนิซิลิน ยาฉีดทุกชนิด
ข.อาการแพ้อื่นๆ เช่น มีอาการผื่นคัน บวม มีไข้ หากหยุดยา 2-3 วัน ไข้ก็จะหายไป บางครั้งอาจเกิดอาการหอบหืดคัดจมูกได้
2.การแพ้ยาแบบทิ้งช่วง
ร่างกาย จะแสดงอาการหรือมีการตอบสนองต่อยาหลังจากได้รับยาไปแล้ว 1-2 วัน อาการที่พบได้แก่ ผื่นแดงอักเสบเม็ดเลือดขาวลดลง โลหิตจาง แผลในกระเพาะอาหารจนถึงไตถูกทำลาย

เมื่อแพ้ยาควรทำอย่างไร?
  • ถ้าแพ้เพียงเล็กน้อย เช่น มีผื่นแดง คัดจมูกให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ถ้ามีผื่นคันมาก อาจใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานบรรเทาอาการได้
  • ถ้าแพ้รุนแรงต้องหยุดยาทันทีและรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงที
  • เมื่อ แพ้ยาใดแล้วต้องจดจำชื่อสามัญทางยาของยาที่แพ้นั้นหรือจดใส่สมุดบันทึก ไม่ควรจำสีหรือรูปร่างลักษณะของเม็ดยา เนื่องจากไม่อาจบ่งบอกได้แน่นอนว่าเป็นยาอะไร หากไม่มีชื่อยาบนซองหรือฉลากที่ใช้ควรกลับไปขอชื่อยาบนซองหรือฉลากที่ใช้ ควรกลับไปขอชื่อสามัญทางยาจากแหล่งที่ได้รับยานั้น
  • งด ใช้ยาที่เคยแพ้ และเพื่อไปพบแพทย์หรือซื้อยา ควรแจ้งให้ทราบว่าเคยแพ้ยาอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยานั้นหรือยาที่มีส่วนผสมของยาที่เคยแพ้ซึ่งอาจก่อให้ เกิดอันตรายรุนแรงกว่าที่เคยเป็นได้
ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็นโดยเฉพาะที่ยาที่ท่านไม่ทราบเลยว่าเป็นยาอะไร เช่น ยาชุด ยาที่ไม่มีฉลาก หากเจ็บป่วยมาก ต้องได้รับการรักษาด้วยยา ควรพบแพทย์หรือขอคำแนะนำเรื่องยาจากเภสัชกรจะดีที่สุด

 ที่มา bangkokhealth.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น